ความปรารถนาเดียวของพ่อแม่ที่มีต่อลูก คือ “การเห็นลูกน้อยเติบโตอย่างแข็งแรง สดใสร่าเริง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ” แต่หารู้ไม่ บางครั้งภาพที่เราเห็นว่าสดใสร่าเริง แต่เขากลับไม่ได้ยินเสียงของเรา และปัญหานี้มักจะไม่แสดงอาการชัดเจนตั้งแต่แรกเกิด กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินไป
การสูญเสียการได้ยินในเด็ก (Hearing loss in children) คือปัญหาที่สำคัญควรได้รับการแก้ไขโดยเร็ว เนื่องจากส่งผลกระทบโดยตรงต่อพัฒนาการด้านภาษา การพูด การเรียนรู้ และการเข้าสังคมของเด็ก ๆ หากตรวจพบเจอช้า อาจทำให้เด็กโตมาโดยมีปัญหาด้านการสื่อสารตลอดชีวิต
ทำไม “เสียง” จึงสำคัญต่อพัฒนาการของเด็ก ?
เด็กเรียนรู้ภาษาผ่าน “การได้ยิน” หากไม่มีเสียงเข้าหู สมองก็จะไม่สามารถเรียนรู้การพูดหรือทำความเข้าใจภาษาได้
เด็กที่ไม่ได้ยินตั้งแต่แรกเกิด และไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้อง มักจะมีพัฒนาการด้านการพูดช้ากว่าเพื่อน ไม่สามารถตามบทเรียนในโรงเรียนได้ และอาจถูกมองว่าเป็นเด็กที่มีปัญหาด้านสติปัญญา ทั้งที่จริงปัญหาที่แท้จริงคือการได้ยิน
สาเหตุของการสูญเสียการได้ยินในเด็ก
- กรรมพันธุ์
- การติดเชื้อในครรภ์มารดา เช่น หัดเยอรมัน
- น้ำหนักตัวแรกเกิดต่ำ หรือคลอดก่อนกำหนด
- การคลอดที่ผิดปกติ
- หูอักเสบเรื้อรัง
- การไม่ดูแลสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์ (เช่น การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์)
- การได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง
ระดับความรุนแรงของการสูญเสียการได้ยิน
- ระดับน้อย ได้ยินเสียงกระซิบลำบาก
- ระดับปานกลาง ได้ยินเสียงพูดทั่วไปไม่ชัด
- ระดับรุนแรง ได้ยินเฉพาะเสียงตะโกน
- ระดับรุนแรงมาก แทบไม่ได้ยินอะไรเลย
สัญญาณเตือนเมื่อลูกอาจมีปัญหาด้านการได้ยิน
เด็กอายุ 0-6 เดือน
- ไม่ตอบสนองเมื่อมีเสียงดัง
- ไม่หันหน้าหาเสียงของพ่อแม่
- ไม่ส่งเสียงอ้อแอ้ตามวัย
เด็กอายุ 6-12 เดือน
- ไม่ตอบสนองเมื่อถูกเรียกชื่อ
- ยังไม่เริ่มพูดคำว่า “แม่” หรือ “ป๊า”
เด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป
- พูดช้ากว่าเพื่อน
- ออกเสียงผิดเพี้ยน
- ชอบอยู่คนเดียว ไม่เข้าสังคม
- เปิดทีวีเสียงดังมากผิดปกติ
หากพ่อแม่สังเกตเห็นอาการเหล่านี้ ควรรีบนำลูกมาตรวจการได้ยินทันที
การตรวจคัดกรองการได้ยินในเด็ก
เด็กแรกเกิดทุกคนควรได้รับการตรวจตั้งแต่แรก
- OAE (Otoacoustic Emissions): ตรวจดูการทำงานของเซลล์ขนในหูชั้นใน
- AABR (Automated Auditory Brainstem Response): ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองที่ตอบสนองต่อเสียง
หากผลคัดกรองเบื้องต้นผิดปกติ แพทย์จะนัดตรวจเพิ่มเติมและประเมินซ้ำใน 1 เดือน
เด็กควรได้รับการวินิจฉัยให้ได้ภายใน 3 เดือน และเริ่มใช้เครื่องช่วยฟังหรืออุปกรณ์ช่วยการได้ยินก่อน 6 เดือน
ทางเลือกในการรักษา
- เครื่องช่วยฟัง (Hearing Aids)
เหมาะสำหรับเด็กที่สูญเสียการได้ยินระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยเครื่องช่วยฟังจะทำหน้าที่ขยายเสียงรอบ ๆ ให้ดัง และชัดเจนขึ้น
- ไม่ต้องผ่าตัด
- ปรับเปลี่ยนตามการเจริญเติบโตของเด็กได้
- มีแบบเฉพาะสำหรับเด็กเล็ก
- ประสาทหูเทียม (Cochlear Implant)
เหมาะสำหรับเด็กที่สูญเสียการได้ยินระดับรุนแรงถึงรุนแรงมาก และใช้เครื่องช่วยฟังแล้วไม่ได้ผล
ประสาทหูเทียมคืออะไร?
เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ฝังในหูชั้นใน พร้อมตัวรับเสียงภายนอก ทำหน้าที่แปลงเสียงเป็นสัญญาณไฟฟ้า แล้วส่งตรงสู่เส้นประสาทหู ด้วยวิธีนี้เด็กสามารถเรียนรู้การพูด การฟัง และพัฒนาได้ใกล้เคียงกับเด็กปกติ
การเลือกใช้ประสาทหูเทียม จะต้องประเมินโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
- การฝึกฟัง ฝึกพูด (Auditory-Verbal Therapy)
การได้ยินที่ดี ต้องควบคู่กับการ “ฝึกฟัง” และ “ฝึกพูด” โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสาร เพื่อให้สมองเรียนรู้การตีความเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การดูแลเด็กที่มีปัญหาการได้ยิน
- รัก และเข้าใจลูก อย่าท้อแท้หรือรู้สึกผิด
- กระตุ้นลูกเสมอ ใช้ทั้งเสียง สีหน้า ท่าทางในการสื่อสาร
- ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญ ไปพบแพทย์ตามนัด และฝึกกับนักแก้ไขการพูดสม่ำเสมอ
- เลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสม กับอายุและระดับการได้ยินของลูก
- พาลูกเข้าสังคม อย่าให้เขารู้สึกว่าต่างจากเพื่อน
หากตรวจพบเร็ว และได้รับการรักษาดูแลอย่างเหมาะสม เด็กจะมีโอกาสพูด และเข้าใจภาษาใกล้เคียงเด็กปกติ
งานวิจัยจำนวนมากยืนยันว่า
เด็กที่ได้รับการวินิจฉัยภายใน 3 เดือน และเริ่มฟื้นฟูภายใน 6 เดือน มีโอกาสพูดได้ใกล้เคียงเด็กปกติสูงมาก
ดังนั้น อย่ารอให้ลูกพูดไม่ได้ก่อน แล้วค่อยเริ่มดูแล
รู้หรือไม่ โรงพยาบาลส่วนใหญ่ในประเทศไทยจะทำการตรวจการได้ยินให้กับทารกแรกเกิดภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากคลอด หรือที่เราเรียกกันว่า การตรวจคัดกรองการได้ยินสำหรับทารกแรกเกิด นั่นเอง
Line Official : @hearlifeth
Facebook: https://www.m.me/hearlifethai
หรือโทร 02-693-9411
และสามารถอ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ บทความ
image by MED-EL